• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

ผู้ที่บรรลุเป้าหมาย เป็นเจ้าคนนายคนมักจะคิดแบบงี้

Started by dsmol19, April 06, 2023, 04:44:55 PM

Previous topic - Next topic

dsmol19

ในขณะที่ยังเป็นเด็กนักเรียน หลายๆคนต่างเชื่อเสมอว่าถ้าได้ตั้งมั่นเรียน สอบติดคณะที่ใช่

ยิ่งมีโอกาสได้งานที่ดี เงินเดือนที่ดี และยิ่งเป็นอาชีพที่ใครก็รู้จักดังเช่น เจ้าหน้าที่รัฐ, วิศวกร


นักธุรกิจยิ่งน่าภาคภูมิไปใหญ่ เพราะนอกจากเงินเดือนที่ได้ ส ม น้ำ ส ม เ นื้ อ มีมากมายพอที่จะจุนเจือ


ครอบครัวได้ มีสวัสดิการรองรับให้มีความสุขยังเป็นอาชีพที่จัดว่า "มีหน้ามีตา" คนไหนกันก็ต้อนรับกันหมด

แม้กระนั้นในโลกของความจริงแล้ว อาชีพที่ "มีหน้ามีตา" ในสังคม ไม่ได้เหมาะสมกับทุกคนเสมอ

และก็ในแต่ละอาชีพ เขาก็มีการระบุอัตรารับสมัครแต่ละปีที่ค่อนข้างจะจำกัดน่ะสิ !

"แล้วจะเรียนไปเพราะอะไร ถ้าหากท้ายที่สุดก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/ งานที่น้อยคนจะรู้จัก/ ค่าตอบแทนรายเดือนที่ไม่ได้จำนวนมากอะไร ?"

คำถามนี้จะได้คำตอบที่ เ ค รี ย ด มากเลย ด้วยเหตุว่ามันเต็มไปด้วยความมุ่งหวังที่มีความรู้สึกว่า

"เรามีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต" แต่ถ้าหากลองกลายเป็นความคิด "ฉันดำเนินงานอะไรก็ได้


ไม่ว่าจะตรงสายหรือไม่ก็ตาม" มันบางทีอาจดูประโยคขี้แพ้ในสายตาบางบุคคล


แม้กระนั้นหากคิดๆดูแล้ว มันได้ความบันเทิงใจ เยอะกว่าการตั้งข้อซักถามแบบแรกเพราะว่าเรื่องจริงของชีวิตเป็น

1. มนุษย์ทุกคนมีความรู้และความเข้าใจในตัวเอง "ผิดแผกแตกต่าง" กันไปพวกเราไม่มีความจำเป็นที่ต้องเก่งเหมือนกันหมด

2. ในรั้วสถานศึกษา- ม ห า วิ ท ย า ลั ยถึงแม้ว่าจะเราได้เรียนกับอาจารย์ที่เก่งแค่ไหน

ขอบเขตความรู้มันก็เป็นเพียงความรู้ในรั้วเพียงแค่นั้นโลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น เรายังจะต้องรู้เห็นอีกมาก

เรียนรู้กันอีก ย า ว ลองถูกลองผิดกันอีกมากโดยเหตุนี้ จะมา ฟั น ธ ง ว่าเรียนมาสายวิทย์

จำต้องดำเนินการสายวิทย์ เรียนสายภาษาจะต้องทำงานสายภาษา มันก็ผิดเสมอ

3. มันคือเรื่องปกติที่มนุษย์เราจำเป็นจะต้องวิ่งตามหาสิ่งที่ "ใช่"

ค่อยๆศึกษา เบาๆปรับนิสัยไป สิ่งที่เรากำลังสนุกในเวลานี้ บางทีอาจจะยังไม่ใช่ที่สุด

สิ่งที่เราเก่งขณะนี้ ในวันหน้า มันบางทีอาจเป็นแค่เพียงความจำ

เนื่องจากว่าอาจมีหลายปัจจัยให้คิดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น จำเป็นจะต้องพับโครงงานศึกษาต่อเอาไว้

เพราะว่าเงินน้อยเกินไปจำเป็นต้องปฏิบัติงานหาเงินก่อน และก็หลังจากนั้นจึงค่อยไปเรียนศิลป์ที่พวกเราถูกใจ ...

เราจำต้องดูจังหวะของชีวิตด้วย (ความต้องการของชีวิตแต่ละช่วง


4. สิ่งที่เราเรียนมาเป็นสิบเป็นร้อยกว่าวิชา มันคือ "การหลอมหลอม" หลายวิชามิได้

สอนพวกเราทางตรง แต่ว่าให้เราค่อยๆดูดซึมจุดเด่นแม้กระนั้นอย่างไปเอง อาทิเช่น ฝึกความอดทน, ฝึกฝนความละเอียดอ่อน,

ฝึกทักษะการเข้าสังคมในคราวหนึ่งที่พวกเราไม่เห็นประโยชน์ว่าจะใช้อะไรได้จริง พอเพียงโตขึ้นอีกหน่อย

มันก็ต้องมีบ้างล่ะที่พวกเรานึกอะไรขึ้นมาจนถึงจะต้องไปพบ อ่ า น ปัดฝุ่นตำราอีกรอบ

ทุกความรู้ที่พวกเราได้รับ ไม่เคยสูญเปล่า เพียงแค่เรามองไม่เห็นค่ามันเอง ลองคิดดูให้ดีสิ !

5. มนุษย์เราควรจะมีช่องทางให้กับชีวิตไว้หลายด้าน หรือ "มีแผนการสำรอง"

เพื่อไม่เป็นการปิ ด กั้ นตนเองจนถึงเกินความจำเป็น ดังเช่นว่า หากวุฒิที่พวกเราเรียนมามันหางาน ย า ก จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำลงมากยิ่งกว่านี้หางานไปก่อน?

หากพวกเราไม่ได้อาชีพนี้ พวกเรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆก่อน?

ความฝันสิ่งที่ใช่ มันไม่สมควรเป็นสิ่งที่ได้เช่นดวงใจในทันทีมันคือเรื่องปกติมากมายๆที่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกับความเหนื่อยอ่อน

ความ พ ย า ย า ม หลายเท่าตัว ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดแม้จะพบว่าเพราะเหตุใด ห ม อ

บางบุคคลถึงแต่งเพลงได้?

เพราะเหตุใดบางบุคคลเรียนวิชาชีพแต่ว่ามาเป็นศิลปิน?

เพราะเหตุใดบางคนเรียนไม่จบแม้กระนั้นบรรลุความสำเร็จ?

ถ้าหากยังไม่เข้าในข้อนี้ ลองย้อนกลับไป อ่ า น ข้อ 4 อีกครั้งขึ้นชื่อว่า "วิชาความรู้" เราได้รับมา

ถึงจะไม่ใช้ในทันทีก็ไม่ควรเสียดาย ขึ้นชื่อว่า "ความฝัน" ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้

ใช่ว่าวันหน้าจะเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆว่า... "รู้ตัวดีหรือไม่ว่าทำอะไรอยู่?" รวมทั้ง

"พร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ชีวิตรึเปล่า?"

อย่ าลืมว่า...โลกเรากลม และก็มีหลายมิติ ใช่ว่าจึงควรดูเพียงแค่ด้านเดียว
ทำงานไม่ตรงสาย
ขอบคุณบทความจาก https://freelydays.com/13507/
คำค้นหา : ข้อคิดชีวิต